12.17.2009

"เปิดนิมิต อาจารย์วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ"





วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ.  เปิดนิมิต อาจารย์วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ.  เชียงใหม่ : ภาบุญ, 2551.


อยู่ๆ ก็ได้หนังสือ เปิดนิมิต อาจารย์วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศโดยวารินทร์ บัววิรัตน์เลิศในคืนหนึ่งหลายปีก่อนจากคุณแม่  ความจริงแล้วคุณแม่ไม่ได้ตั้งใจจะเอามาให้หรอก แต่ประมาณว่าคุณแม่ไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ วงแชร์ไฮโซ ผู้ซึ่งเลื่อมใสอาจารย์วารินทร์  วันนั้นคงได้หนังสือเล่มนี้จากใครคนหนึ่งที่เอามาแจกเป็นของชำร่วย  พอกลับมาบ้าน เห็นคุณแม่ถือหนังสือเล่มนี้เข้ามาในห้อง ก็เลยอุปมานเอาเองว่าแม่เอามาฝาก ก็เลยเอามาเก็บไว้เองในห้องนอน แต่ไม่คิดจะเอามาอ่านเสียที อาจจะเกือบสามปีเลยด้วยซ้ำ เปลี่ยนเตียงใหม่ จัดห้องใหม่ เอาโต๊ะออก เอาตู้เข้า หนังสือเล่มนี้ก็ยังวนเวียนอยู่ในห้องนอนเล็กๆ ของดิฉันนั่นแหละ แต่ไม่เคยเหลียวแลเลย

ดิฉันเคยพบกับอาจารย์วารินทร์หนึ่งครั้งที่เชียงใหม่ น่าจะประมาณ 7 ปี มาแล้ว ตอนนั้นอาจารย์ยังโด่งดังระดับประเทศ ยังไม่ได้ชื่อว่าเป็นโหรคมช. วิหารหลวงปู่ยังเป็นบ้านของอาจารย์เอง ไม่ได้เป็นข่วงล้านนาในปัจจุบัน  คุณแม่เป็นคนพาดิฉันและน้องชายไปพบ เพื่อตรวจดวงชะตา  บอกตรงๆ เลยว่า เป็นคนที่ดูแม่นที่สุดในบรรดาหมอดูสำนักต่างๆ ที่ดิฉันเคยพบมาในชีวิต  อาจารย์วารินทร์เป็นหมอดูแบบนั่งทางใน ให้เราเขียนชื่อ นามสกุล วันเดือนปีเกิด แล้วอาจารย์ก็จะหันไปไหว้พระพุทธรูปองค์ใหญ่ (มาก) แล้วนั่งสมาธิอยู่ประมาณ 3 นาที พอหันกลับมา ก็ให้เราถามคำถามอะไรก็ได้ที่เราอยากรู้

ตอนนั้นดิฉันยังอายุไม่มาก ฝักใฝ่แต่เรื่องเรียนหนังสือจริงๆ อยากเรียนปริญญาเอก ก็เลยถามไปว่าจะได้เป็นด๊อกเตอร์ไหม อาจารย์ก็ตอบแบบถนอมน้ำใจว่า ถ้าพยายามก็ได้ แต่แววตานี่บ่งบอกความเห็นใจสุดๆ  ดิฉันก็ยังพอมีกำลังใจบ้าง แต่พอถามว่า ต้องไปเรียนเมืองนอก จะได้กลับเมื่อไหร่ อาจารย์บอกว่าอีกไม่เกินสามปี ดิฉันก็รู้เลยว่าคงไม่ได้ปริญญาเอก เพราะคำนวนเวลาตอนนั้นแล้ว มันไม่ตรงกับความเป็นจริง พอถามเรื่องงาน อาจารย์บอกว่าจะได้งานประจำตอนอายุ 27 ปี ดิฉันก็โอเค คิดว่าเราเรียนจบมามีงานทำก็ถือว่าน่าพอใจแล้วในระดับหนึ่ง

อาจารย์ให้ดิฉันถามเรื่องความรัก ดิฉันไม่อยากถาม แต่อาจารย์ก็ยังเขี่ยบอล อยากรู้ไหมว่าคนที่พบอยู่ตอนนี้เป็นเนื้อคู่เราหรือเปล่า เขียนชื่อกับนามสกุลของเขามาสิดิฉันตอบเลยว่า รู้อยู่แล้วค่ะว่าเขาไม่ใช่ หนูไม่อยากรู้เรื่องของเขา อาจารย์ก็เลยยิ้มอย่างพอใจ ดิฉันเลยรู้ว่าอาจารย์คงจะเห็นอะไรที่ไม่ดีในตัวผู้ชายคนนั้นเยอะมาก และคิดว่าดิฉันจะรักผู้ชายคนนั้นมาก แต่เปล่าเลย ตอนนั้นคิดแต่ว่าจะหนีมันไปยังไงดี  แล้วอาจารย์ก็บอกว่า ดิฉันจะเจอเนื้อคู่ตอนอายุ 29 ปี เป็นคนผอม โปร่ง มีเชื้อมีสาย แต่ไม่ได้หมายถึงมีเชื้อเจ้า อาจารย์หมายถึงเป็นคนมีสายชาติพันธุ์อื่น ดิฉันถามว่าการแต่งงานกับเนื้อคู่จะทำให้ชีวิตของดิฉันดีขึ้นบ้างไหม เช่น รวยขึ้น หรือมีหน้ามีตาในสังคม อาจารย์ส่ายหัวอย่างเดียว ดิฉันเซ็งเลย แต่ก็คิดว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องในอนาคต เราสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ ตอนนั้นก็เลยไม่ค่อยรู้สึกเกรงกลัวเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ แต่ก็พยายามใช้ชีวิตอย่างมีสติและระมัดระวังเสมอมา อย่างน้อยก็ไม่ท้องก่อนแต่งละว้า

หลังจากนั้นอาจารย์เลยให้หนังสือสวดมนตร์แก่ดิฉันมาหนึ่งเล่ม สอนให้สวดมนตร์ และอธิฐาน ซึ่งดิฉันปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด..ได้ไม่นาน แล้วก็มาเคร่งครัดอีก..ได้ไม่นาน ขึ้นๆ ลงๆ อยู่อย่างนั้น แต่ก็ไม่เคยลืมสิ่งที่อาจารย์บอกเลย

ในช่วงวิกฤติของชีวิต อยู่ๆ ดิฉันก็นึกถึงอาจารย์วารินทร์ นึกถึงสิ่งที่อาจารย์พูดเมื่อ 7 ปีก่อน แล้วก็เลยนึกถึงหนังสือ เปิดนิมิต อาจารย์วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศนี้ขึ้นมา อยากอ่านฉับพลันจนต้องพลิกห้องหากันเลยทีเดียว และดิฉันก็อ่านจนจบด้วยความหวังที่จะมองเห็นหนทางแห่งธรรม ทางที่จะช่วยให้ดิฉันพ้นทุกข์ พ้นจากความเศร้าหมอง ไม่หลงผิดอีกต่อไป

หนังสือ เปิดนิมิต อาจารย์วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศได้เล่าเรื่องชีวิตของอาจารย์ ตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก จนถึงตอนที่ค้นพบว่าตนเองสามารถมองเห็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่สามารถสัมผัสได้ สิ่งที่อาจารย์มองเห็นไม่ใช่เพียงแค่ว่าอะไรจะเกิดก่อนเกิดหลัง แต่เห็นว่ามีกรรมเวรอะไรที่ติดตัวมา และกำลังจะตามมา จึงทำให้ชาติปัจจุบันถึงเป็นอย่างนี้ อาจารย์พยายามแนะนำตลอดว่าเราต้องทำความดี ปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน เพื่อที่เราจะได้มีกรรมดีเอาไว้ขออโหสิกรรมแก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย

อาจารย์วารินทร์ ยังได้พูดถึงเรื่องการทำบุญ ซึ่งมีอะไรเล็กๆ น้อยๆ น่าสนใจหลายอย่าง เช่น การทำสังฆทาน ซึ่งคนส่วนใหญ่รู้กันอยู่แล้วว่า การทำสังฆทานด้วยถังเหลืองที่ชายสำเร็จรูปได้บุญไม่มาก เพราะของในนั้นอาจเป็นของเก่า หมดอายุ เป็นต้น แต่อาจารย์บอกว่า การทำสังฆทานกับพระสงฆ์ ก็ควรจะเลือกพระสงฆ์ด้วย ยิ่งได้ทำกับพระสงฆ์ที่มีฌาณสูงก็จะได้บุญมากกว่าทำสังฆทานกับพระสงฆ์ธรรมดา ซึ่งประเด็นนี้ค่อนข้างจะขัดกับหนังสือพุทธศาสนาที่ดิฉันได้อ่านหลังจากเล่มนี้ หนังสือพุทธศาสนาส่วนใหญ่จะบอกว่า การทำสังฆทานกับพระสงฆ์รูปใดโดยที่ไม่เลือกเป็นวิธีที่ถูกต้อง เพราะถือว่าบำรุงศาสนาโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ อะไรทำนองนั้น

แต่พอพยายามหาคำตอบ ถามใครหลายๆ คนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ส่วนใหญ่ได้คำตอบว่า แล้วแต่คนตีความหรือมันอยู่ที่เจตนา อาจารย์วารินทร์มีความเชื่ออย่างนั้นเนื่องจากการที่เขาเห็นวิญญาณสองดวงที่กำลังจะไปเกิดอยู่ในสภาวะที่ต่างกัน ทั้งที่มีกรรมอย่างเดียวกัน แต่ผลบุญได้ไม่เท่ากัน เพราะทำบุญไปให้ผ่านพระสงฆ์ต่างรูป

อีกประเด็นหนึ่งที่คล้ายกันคือ การจัดเตรียมชุดสังฆทานหรืองานบุญอย่างประณีต ก็จะได้บุญมากกว่า ซึ่งหนังสือพุทธศาสนาที่ดิฉันได้เคยอ่าน (ซึ่งอาจจะมีจำนวนน้อยอยู่) ไม่ได้กล่าวถึงประเด็นนี้เลย  อาจารย์วารินทร์สรุปออกมาเช่นนี้ด้วยเหตุผลเดียวกับเหตุการณ์แรก คือเห็นจากนิมิตว่า วิญญาณสองดวงอยู่ในสภาวะต่างกัน  คนส่วนใหญ่อาจจะมองว่าความประณีต การให้มากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับสถานภาพของตนเอง บางคนแทบจะมองว่าให้อะไรไม่เกี่ยว อยู่ที่เจตนาว่าจะให้ และได้กระทำการให้  แต่ดิฉันเชื่อว่าการจัดเตรียมชุดสังฆทานอย่างประณีตจะได้บุญมากกว่า แต่การทำอย่างประณีตก็คือ การใส่ใจ การมีเจตนามากกว่าแค่ให้ แต่เจตนาอยากให้สิ่งที่ดี เครื่องสังฆทานที่มีคุณภาพ เป็นประโยชน์จริงๆ และไม่ทำร้ายผู้รับ  อย่างเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น การถวายกาแฟ แม้มีเจตนาดี แต่หากคิดให้มากกว่านั้น กาแฟมีสารเสพติดอยู่ ไม่ดีต่อสุขภาพ  หากอาจารย์วารินทร์ใช้คำอื่นที่ไม่ใช่ ประณีต อาจจะช่วยให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น

และจากการเรียนรู้เรื่องการทำบุญโดยผ่านประสบการณ์ของอาจารย์นี้เอง ทำให้ดิฉันคิดว่าเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องบุญบาป รวมไปถึงเรื่องธรรมะอื่นๆ อาจจะแตกต่างจากหนังสือรวบรวมพระธรรมคำสอนเล่มอื่นๆ ไปบ้าง  ยก ตัวอย่างเช่น สัตว์นรกจะได้บุญที่ญาติโยมอุทิศไปให้ในวันพระเท่านั้น แต่ถ้าเป็นพระธรรมคำสอนเล่มอื่นๆ จะบอกว่าสัตว์นรกจะไม่ได้รับส่วนบุญเลย จนกระทั่งชดใช้กรรมบางส่วน แล้วได้มาอยู่ในเขตแห่งนรกที่สามารถรับส่วนบุญได้ หรือได้ไปเกิดในภพอื่นที่รับส่วนบุญได้ เช่น เปรตและมนุษย์

อย่างไรก็ตาม ดิฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น สามารถมองข้ามไปได้ เพราะสิ่งที่สำคัญกว่ามากคือ วัตถุประสงค์ของอาจารย์วารินทร์ที่เขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา ไม่ใช่แค่เพียงเป็นการหาทุนสร้างข่วงล้านนาวิหารหลวงปู่เฒ่าเทวารัญ แต่ต้องการให้ทุกคนเชื่อว่าบาปกรรมมีจริง ชีวิตของเราที่เกิดมา สิ่งต่างๆ ทั้งดีและไม่ดี คนที่เราพบเจอ ทั้งที่สนับสนุนหรือคอยขัดขวางเรา ล้วนเกิดจากลิขิตแห่งกรรมทั้งสิ้น  หากทำกรรมดีมามากในชาติภพก่อนๆ ชีวิตเราในชาติปัจจุบันก็จะมีจริตที่ดี มีฐานะ อยู่ในสังคมที่ดี ตรงกันข้ามกับคนที่ทำกรรมชั่วมามากในชาติภพก่อนๆ

ในหนังสือ อาจารย์วารินทร์เล่าเรื่องมหัศจรรย์มากมายที่คนธรรมดาอย่างเราๆ ไม่สามารถสัมผัสได้ อย่างเรื่องไล่ผี ไล่วิญญาณร้ายที่มาสิงสู่ร่างของมนุษย์ การติดต่อกับผีและสื่อสารวิญญาณในสถานที่ต่างๆ ซึ่งมีเยอะมากจนนึกว่ากำลังอ่านหนังสือมิติลี้ลับอยู่

ท้ายที่สุดนี้ หนังสือเล่มนี้ทำให้ดิฉันเชื่อในกฎแห่งกรรมอย่างลึกซื้งมากขึ้น เข้าใจว่า การดำเนินชีวิตอย่างไม่ประมาทหมายถึงอะไร และควรจะทำอย่างไร ที่สำคัญที่สุด อาจารย์วารินทร์ทำให้ดิฉันคิดว่าการใช้สติและปัญญาในการใช้ชีวิตคือวิธีที่ดีที่สุด เมื่อใดที่ชีวิตมีปัญหา อย่าคิดแต่พึ่งพาหมอดู หมอร่างทรง เพราะพวกเขาไม่ใช่เจ้า ไม่ใช่เทวดา ดังที่กล่าวอ้าง เป็นเพียงวิญญาณที่เข้ามาอาศัยร่างมนุษย์ เพื่อบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ แต่วิญญาณเหล่านี้จะไม่เห็นว่าเราทำบาปทำกรรมอะไรกับใครไว้อย่างลึกซึ้ง ไม่สามารถบอกได้ว่าเราควรจะทำอย่างไรเพื่อตัดกรรมเหล่านั้น เพราะฉนั้น สิ่งที่เราควรจะทำอย่างสม่ำเสมอคือทำความดี แค่รักษาศีลห้าได้อย่างเคร่งครัดก็ถือว่าเจ๋งมากแล้วค่ะ

หากยังสงสัยว่า แล้วที่อาจารย์วารินทร์บอกกับดิฉันเรื่องงานและเรื่องเนื้อคู่นั้นตรงกับที่ เกิดขึ้นจริงหรือไม่ ดิฉันคงไม่อยากเล่ารายละเอียด แต่บอกได้เลยว่า แม่นมาก!

No comments:

Post a Comment