1.24.2010

"อธิฐานสิจ๊ะ กับนางฟ้าสีเขียว"







วิเชียร ไชยบัง.  อธิษฐานสิจ๊ะ กับนางฟ้าสีเขียว.  บุรีรัมย์ : โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา, 2552.
ตอนแรกคิดว่าจะเขียนถึง ใบไม้แดงของวรรณสิงห์ ประเสริฐกุล ซึ่งอ่านจบไปแล้วนะคะ แต่ขอเปลี่ยนแผน เป็น อธิฐานสิจ๊ะ กับนางฟ้าสีเขียวโดยวิเชียร ไชยบังแล้วกัน เนื่องจากว่าได้รับทราบมาสักพักจากอาจารย์วิเชียรถึงความก้าวหน้าของหนังสือ เป็นระยะ เมื่อวานนี้มีโอกาสพบกันที่โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา อาจารย์วิเชียรก็เลยมอบให้ 1 เล่ม แถมด้วยข้อความและลายเซ็นต์ตามสไตล์นักเขียนคนดังอีก  เพิ่งอ่านจบเมื่อคืนนี้เองค่ะ ก็เลยขอแซงคิว ใบไม้แดงก่อนนะคะ
อธิฐานสิจ๊ะ กับนางฟ้าสีเขียว โดยวิเชียร ไชยบัง จากสำนักพิมพ์โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา เป็นหนังสือเล่มเล็กๆ 118 หน้าเท่านั้นเองค่ะ เขียนคล้ายๆ กับนิทานสำหรับเด็กเลย แต่คำโปรยหน้าหนังสือบอกว่าเป็น วรรณกรรมที่ถ่ายทอดเรื่องรายจากอีกมุมหนึ่งของโรงเรียนนอกกะลา”  เขียนมาแบบนี้ ถ้าไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ใครจะไปรู้ว่าโรงเรียนนอกกะลาอยู่ที่ไหน และที่สำคัญ ดิฉันคิดว่าถ้าไม่รู้เรื่องโรงเรียนนอกกะลามาก่อนที่จะอ่านหนังสือเล่มนี้ อาจจะเข้าถึงสิ่งที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อได้ยากสักหน่อย แต่ไม่เป็นไรหรอกค่ะ บางทีการไม่มีข้อมูลใดๆ มาก่อน อาจจะทำให้ไม่เกิดการคาดหวังและการตัดสิน จึงอาจจะได้เห็นสิ่งอื่นๆ ที่ซ่อนอยู่ หรือแนวคิดใหม่ๆ ที่คนอื่นมองไม่เห็นก็ได้ เหมือนกับที่ในหนังสือบอกไว้ว่า อนาคตคือสิ่งที่เราไม่รู้ มันจะมีความหมายก็ต่อเมื่อเราไม่รู้เท่านั้นแหละ
อาจารย์วิเชียรบอกว่า เรื่องราวในหนังสือเล่มนี้ เป็นการถ่ายทอดวิธีการเรียนการสอนที่ใช้อยู่ที่โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาและ การพัฒนาของเด็กคนหนึ่งภายใต้การเรียนการสอนแบบนั้น จะขอกล่าวถึงคร่าวๆ ดังนี้ค่ะ วิสัยทัศน์ของโรงเรียนคือ ให้เด็กทุกคนมีความสุข เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ (ซึ่งดิฉันไม่เข้าใจว่ามนุษย์ที่สมบูรณ์เป็นอย่างไร) มีความซื่อสัตย์สุจริต มีคุณธรรม จริยธรรม รู้จักพัฒนาตนเองอยู่เสมอ และมีความรักถิ่นฐาน ไม่ดูหมิ่นดูแคลนพื้นเพของตนเอง  ดิฉันแอบเดาเอาเองว่า ท่านผู้ก่อตั้งโรงเรียนต้องการให้โรงเรียนนี้ เป็นแหล่งบ่มเพาะนักการเมืองรุ่นใหม่  ลองคิดดูสิคะ ว่าหากนักการเมืองคนหนึ่งมีคุณสมบัติข้างต้นนี้ ชุมชนนั้นๆ จะเข้มแข็งปานใด การซื้อสิทธิ์ขายเสียงจะไม่มีอีกต่อไป จะมีแต่คนที่พยายามสร้างสรรค์แต่สิ่งดีๆ ให้กับชุมชนโดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของคุณธรรม จริยธรรม และความซื่อสัตย์ แล้วถ้ามีชุมชนอย่างนี้เยอะๆ สังคมของเราก็จะเข้มแข็งอย่างแท้จริง ไม่ต้องพึ่งพางบประมาณ เมืองไทยเข้มแข็ง เพื่อเอาไปสร้างถนนหรือสิ่งอะไรที่มันไม่เข้าท่าสักเท่าไรกันอย่างเป็นบ้า เป็นหลังเหมือนทุกวันนี้
โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนามีนวัตกรรม เครื่องมือการเรียนการสอนมากมาย เช่น จิตศึกษา การสร้างคลื่นสมองต่ำ การสอนเพื่อการคิดและความเข้าใจ การเรียนการสอนแบบบูรณาการโครงงาน เป็นต้น  นอกจากนี้ ยังมีแนวคิดแนวปฏิบัติสำหรับครูผู้สอน เพื่อให้เครื่องมือเหล่านั้นได้ผลยิ่งขึ้น ซึ่งอาจารย์วิเขียรได้กล่าวถึงแนวคิดแนวปฏิบัติเหล่านี้ในหนังสือพอสมควร ยกตัวอย่างเช่น
- การประเมินเด็กนักเรียนด้วยการสอบหรือการให้คะแนน จะทำให้เด็กเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีความสุข แต่เด็กที่เหลือจะไม่มีความสุข อับอาย และไม่มั่นใจ
- หากเด็กทำผิด ครูไม่ควรเป็นผู้บอกว่าเด็กทำผิด แต่ควรใช้วิธีต่างๆ ให้เด็กเป็นผู้คิดได้เองว่าตนเองทำผิดไป และคิดหาวิธีแก้ไขความผิดพลาดนั้นด้วยตนเอง ครูต้องทำด้วยน้ำเสียงที่ไม่ตำหนิและใจเย็น
- เด็กจะจดจำสิ่งต่างๆ ที่ได้ยินจากผู้ใหญ่ และบางครั้งก็จะเชื่อไปตามนั้น ดังนั้นครู พ่อแม่ ผู้ใหญ่ควรจะพูดแต่สิ่งดี พูดด้วยภาษาที่เคารพสุภาพ และเป็นตัวอย่างที่ดีให้เด็กอยู่เสมอ
ประเด็นสำคัญหนึ่งที่หนังสือนำ เสนอคือ การร่วมมือกันระหว่างพ่อแม่และครู ซึ่งเป็นประเด็นที่พูดถึงอยู่ตลอดตั้งแต่ต้นจนจบเลยค่ะ  พ่อแม่ส่วนใหญ่คงไม่ต่างจากพ่อแม่ของเด็กน้อยในหนังสือเล่มนี้ คือต้องการให้ลูกเรียนเก่ง อ่านออกเขียนได้เก่งๆ แต่คิดว่ามันเป็นหน้าที่ของครูและโรงเรียนที่จะทำให้เด็กเรียนเก่ง อ่านออกเขียนได้ ไม่ใช่หน้าที่ของพ่อแม่  พ่อแม่จึงไม่เห็นความสำคัญของการเข้าร่วมกิจกรรมใดๆ ของโรงเรียน
แต่สิ่งที่นำเสนอในหนังสือคือ เด็กกลับเกิดความสับสน เวลาที่อยู่โรงเรียน ครูจะพูดจาดีกับเด็กนักเรียนทุกคน ไม่ทำโทษ ชี้ให้เห็นถึงความสวยงามของสิ่งรอบข้าง ปลูกฝังให้เกิดความรักและความเคารพกับผู้คนและสิ่งต่างๆ อยู่เสมอ  แต่เมื่อเด็กกลับบ้านมาคุยกับพ่อแม่ พ่อแม่จะให้ข้อมูลตรงกันข้าม เช่น เด็กชายหินอยากเลี้ยงหนู เห็นว่าลูกหนูเป็นสัตว์ที่น่ารัก บอบบาง ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ครูปลูกฝังให้เด็กรักสัตว์และเคารพชีวิตอื่น แต่เมื่อเด็กชายหินถามแม่เรื่องลูกหนู แม่กลับบอกว่า หนูเป็นสัตว์สกปรก น่ารังเกียจ ห้ามสัมผัส ห้ามยุ่งเป็นอันขาด เด็กชายหินจึงต้องแอบเลี้ยงลูกหนูโดยที่ไม่ให้แม่รู้  ยังมีตัวอย่างอื่นๆ อีกมากในหนังสือเล่มนี้ค่ะ ที่แสดงให้เห็นว่า หากพ่อแม่และครูไม่ร่วมมือกันเพื่อที่จะช่วยสอนลูกให้เป็นเด็กดีและมีความ สุขแล้ว เด็กก็จะพัฒนาตนเองไปในทางนั้นได้ยากขึ้น  แต่สิ่งที่เด็กชายหินเผชิญอยู่เมื่ออยู่บ้าน อาจจะเป็นตัวแทนของโลกแห่งความเป็นจริง โลกที่คนส่วนใหญ่ยังคงมีความเชื่อหรือความคิดที่ยึดติดกับสิ่งต่างๆ จนไม่สามารถเปิดใจรับการเปลี่ยนแปลงใดๆ ได้อีก
สิ่งที่โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาทำ อยู่เสมอคือ จัดกิจกรรมให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วมในกระบวนการการเรียนการสอนจริงๆ ผู้ปกครองจะต้องมารับส่งลูกเองทุกวัน ผลัดกันมาเล่าเรื่อง เล่านิทาน พูดคุยกับเด็กๆ ที่โรงเรียนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ผู้ปกครองเข้าใจ และซึมซับวิธีการเรียนการสอนแบบโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา เมื่อกลับบ้านไป ก็รู้วิธีที่จะตอบคำถามลูก พูดกับลูก สอนลูก เด็กๆ ก็จะมีความสุขในวัยเยาว์ได้ทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน
นอกจากนี้ พ่อแม่หลายคนอาจจะติดภาพว่าการเรียนที่โรงเรียนนั้น จะต้องมีครู มีไม้เรียว มีการบ้านเยอะๆ มีหนังสือต้องอ่านเป็นกอง จึงจะทำให้เด็กเรียนเก่ง มีวินัย  แต่สิ่งที่ปรากฎในหนังสือคือ เด็กไม่มีความสุขที่โรงเรียน กลัวครู อยากจะพูดจะอธิบายอะไรแต่ครูไม่ฟัง ครูชอบตี ชอบทำโทษ และทำต่อหน้าเด็กคนอื่นๆ ด้วยสิ  นี่ก็เป็นการย้ำอีกครั้งว่าพ่อแม่เองก็ต้องเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมของตน เองเช่นกัน นอกจากนี้ ยังย้อนกลับไปสอดคล้องกับสิ่งที่โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาเชื่ออยู่เสมอคือ เด็กจะจดจำสิ่งที่ผู้ใหญ่พูดและทำ ตรงนี้อาจารย์วิเชียรอาจจะพยายามอธิบายเรื่องการเหนี่ยวนำ  คืออาจารย์วิเชียรชื่อว่า สิ่งต่างๆ ที่คนหมู่มากทำจะเป็นการกระตุ้นให้คนอื่นทำตาม ยิ่งจำนวนคนมากขึ้น พลังการเหนี่ยวนำก็จะยิ่งสูงขึ้นด้วย  ดังนั้น หากครูทำโทษเด็กคนหนึ่งต่อหน้าเด็กคนอื่น หรือตำหนิเด็กอย่างรุนแรงในชั้นเรียน นักเรียนที่เหลือก็จะมีแนวโน้มเชื่อว่าเด็กคนนั้นเป็นเด็กไม่ดี ขี้เกียจ สกปรก ฯลฯ แล้วแต่ตามที่ครูจะว่า  และสิ่งที่โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนาเชื่ออีกสิ่งหนึ่งก็คือ หากเด็กคนนั้นได้ยินสิ่งเดิมๆ ซ้ำๆ กัน 21 ครั้ง เขาก็จะเชื่อว่าเขาเป็นคนอย่างนั้นจริงๆ ทั้งๆ ที่เพื่อนๆ ของเขาเชื่อตามครูไปก่อนหน้านั้นแล้ว
ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงระบบการเรียนการสอนในสังคมไทย ไม่ใช่แค่เปลี่ยนที่ระบบเท่านั้นนะคะ แต่ต้องเน้นที่ครู และผู้ปกครองเองก็ต้องมีส่วนอย่างเต็มที่จริงๆ  ดิฉันเองเรียนมาทางด้านการศึกษา และเชื่อเช่นนี้ เชื่อว่าเราต้องเปลี่ยนที่คนก่อนที่จะไปเปลี่ยนระบบ ระบบการศึกษาดีแค่ไหน แต่คนใช้ระบบไม่เคยเข้าใจ ไม่มีความสามารถ มันก็ไม่ช่วยอะไรหรอกค่ะ  และการเปลี่ยนที่คนแรกเริ่มเลยก็ต้องที่ครูก่อน แล้วก็มาที่ผู้ปกครอง เปลี่ยนจากระดับล่าง แล้วมันจะกระเทือนไปถึงระบบเอง คนที่ดูระบบ (คือพวกที่ออกนโยบาย จัดสรรงบประมาณ ให้ขั้นให้ยศ) จะเริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง เราไม่จำเป็นต้องรอให้พวกคนที่ดูระบบมาช่วยเราหรอก เราต้องช่วยตัวเองนั่นแหละ ขืนรอไปก็คงไม่มีวันเกิด เดี๋ยวย้ายบ้าง งบไม่พอบ้าง ว่ากันไป รอกันจนเด็กคนหนึ่งโตขึ้นมาเป็นนักการเมืองหัวขี้เลื่อย ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ที่กล่าวมาข้างต้น ดิฉันคิดว่าเป็นเพียงด้านหนึ่งของหนังสือ ส่วนอีกด้านหนึ่งคือการเรียนรู้ถึงสิ่งรอบตัวในสายตของเด็กเล็กๆ คนหนึ่ง ประเด็นนี้ก็สำคัญไม่แพ้กับการพยายามเปลี่ยนแปลงความคิดพฤติกรรมของครูและ พ่อแม่ข้างต้นเลยนะคะ และเราก็จะเห็นสิ่งเหล่านี้ตลอดทั้งเล่มจริงๆ  เด็กคนหนึ่งมีจินตนาการสูงมาก และมีความสนใจใคร่รู้กับสิ่งต่างๆ รอบตัวอยู่ตลอดเวลา ดิฉันเชื่อว่าทุกคนที่ได้อ่านก็จะต้องรู้สึกว่า เออ... ตอนเด็กๆ เราก็คิดอย่างนี้เหมือนกัน
ยกตัวอย่างจากตอนแรกเลย เด็กชายหินบอกว่า พยายามบอกทุกคนตลอดว่าตัวเองอายุห้าขวบแล้ว ทั้งๆ ที่เพิ่งฉลองวันเกิดสี่ขวบไปไม่กี่วัน และที่เขาทำอย่างนั้นเพราะเขาอยากโตไวๆ จะได้ทำอะไรสนุกๆ อย่างที่ผู้ใหญ่ทำ เช่น เดินข้ามทางรถไฟเองคนเดียวได้ ใช้กรรไกรได้ ฯลฯ ลองนึกถึงตัวเองตอนเด็กๆ สิคะ ตอนที่เราอยากขี่จักรยานไปหน้าปากซอยเอง ตอนที่เราอยากเดินไปเล่นทะเลเอง อยากกินข้าวเอง แต่ก็จะต้องมีคนมาบอกเราว่าไม่ให้ทำตลอดเลย และจะให้เหตุผลว่า ยังเด็ก เดี๋ยวมีดบาดบ้างล่ะ เดี๋ยวตกน้ำ เดี๋ยวผีตาโบ๋มาหลอก อะไรอย่างนี้ มันก็ถูกของผู้ใหญ่นะคะ ตอนนี้เราหลายคนก็ทำแบบนั้นเพราะเป็นห่วงเด็กๆ แต่เราก็จำได้ใช่ไหมคะ ว่าตอนที่โดนเบรกนั้น เราเซ็งแค่ไหน ทั้งๆ ที่เราคิดว่าเราใช้กรรไกรเป็นนะ เราขี่จักรยานเองได้  จริงๆ แค่เหตุผลที่ห้ามเด็กไม่ให้ทำอะไรอย่างหนึ่ง เพียงแค่เพราะว่า ยังเป็นเด็ก ทำไม่ได้ เป็นเรื่องของผู้ใหญ่มันไม่พอหรอกค่ะ ใช่ไหมคะ
ตอนเราเป็นเด็ก โลกของเรามีแค่บ้านกับโรงเรียน มีพ่อแม่ ครู และเพื่อนที่โรงเรียน  ถ้าเด็กคนหนึ่งไม่สามารถมีความสุขได้ในโลกที่แสนจะเรียบง่ายขนาดนี้แล้ว เขาจะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่รู้จักวิธีหาความสุขที่แท้จริงได้อย่างไรคะ ความสุขที่เป็นความปิติ ความเบิกบาน ไม่ใช่ความสุขชั่วครั้งชั่วคราวที่เกิดขึ้นตอนที่เราดูหนังตลกเพราะเบื่องาน หรือตอนที่เรากินเหล้าจนเมาแล้วออกไปดิ้นกลางฟลอร์เพราะต้องการลืมเรื่องที่ เพิ่งทะเลาะกับแฟน
ตอนจบของหนังสือคือ เด็กชายหินโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ทำงานหลากหลายอาชีพ แต่ถ้าเขาขอพรได้หนึ่งอย่างจากนางฟ้าสีเขียว เขาจะขอกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง  ส่วนดิฉัน คงไม่อยากกลับไปเป็นเด็กอีกแล้ว เพราะวัยเด็กของดิฉันมีแต่ความน่าเบื่อ โดนครูดุ ครูตี เพื่อนๆ ก็ชอบแกล้ง ชอบว่าว่าเป็นคนเรียนไม่เก่ง กระจอก ตัวดำ แสดงละครทีไรก็เป็นได้แค่นางผีเสื้อสมุทร หรือเงาะป่า แม้ตอนโตขึ้นจะเรียนเก่ง เอนท์ติด จบโทเมืองนอก พูดภาษาอังกฤษปร๋อ มีลูกน้องเป็นฝรั่ง แต่สิ่งที่เพื่อนๆ โรงเรียนเก่าเห็นก็คือ เด็กกระจอกๆ ที่เรียนไม่เก่ง ขี้เกียจ และโดนครูดุอยู่เสมอ  นี่แหละค่ะ อานุภาพของครูประถม แล้วอย่างนี้จะอยากกลับไปเป็นเด็กทำไมล่ะคะ ไปเพื่อเปลี่ยนอดีตงั้นเหรอ เชื่อไหมคะ ว่าดิฉันคิดว่าตัวเองคูณเลขสองหลักไม่เป็นตั้งแต่ป. 3 แน่ะ เพราะว่าเคยเอาการบ้านไปส่งครู ครูเอาไม้เรียวชี้ลงไปในสมุด แล้วถามว่า นี่อะไร ดิฉันเลยดึงสมุดกลับมาเพื่อมาแก้ แต่ก็แก้ไม่ได้เพราะมันถูกอยู่แล้ว  แต่ก็คิดว่าตัวเองทำไม่เป็นมาตั้งนาน จนถึงม. 1 น่ะค่ะ ถึงได้รู้ว่าที่เรารู้นั้นมันถูกอยู่แล้ว  ถ้าย้อนได้ ดิฉันขอย้อนกลับไปแค่ตอนอยู่มหาวิทยาลัยก็พอ ตอนที่ดิฉันได้เห็นน้ำตาแห่งความภูมิใจของพ่อแม่ดีกว่าค่ะ
อธิฐานสิจ๊ะ กับนางฟ้าสีเขียว อาจดูเหมือนเป็นหนังสือเด็ก แต่จริงๆ เป็นหนังสือที่ครู บุคคลากรทางการศึกษา และพ่อแม่ควรจะอ่านอย่างยิ่ง ดังที่อาจารย์วิเชียรได้เขียนคำอุทิศไว้
เด็กๆ ทุกคนรักพ่อแม่ รักคุณลุงคุณป้า รักคุณครู ครูใหญ่ ครูแม่ครัว ครูภารโรง รักบ้าน รักโรงเรียน รักดอกไม้หน้าบ้าน รักปลาทุกตัวในบ่อหลังบ้าน ขอให้กำลังใจพ่อแม่และคุณครูทุกคนนะคะ

1.16.2010

"เปลี่ยนวิธีคิด ชีวิตเปลี่ยน"


Kerry Patterson, Joseph Grenny, David Maxfield, Ron McMillan และ Al Switzler.  จิรายุทธ ประเจิดหล้า (แปล).  เปลี่ยนวิธีคิด ชีวิตเปลี่ยน.  กรุงเทพฯ : แมคกรอ-ฮิล,  2552.


กลายเป็นหนึ่งในหนังสือที่รักมากที่สุดไปอีกเล่ม ถึงแม้ว่าตอนช่วงแรกๆ ที่อ่าน จะรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจไม่น้อยกับภาษาการเขียน คงเป็นเพราะเป็นหนังสือแปลจากภาษาอังกฤษ ภาษามันเลยขัดๆ งงๆ ดูเป็นวิชาการ แต่ฟังแล้วแปลกๆ แต่พออ่านไปสักพัก ความหงุดหงิดก็หายไปเอง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะชิน หรือเพราะเริ่มอินกับเนื้อหาในหนังสือ คิดว่าคงเป็นอย่างหลังมากกว่าค่ะ

สิ่งหนึ่งที่อยากบอกคือ ห้ามเดาจากชื่อเรื่องภาษาไทยเด็ดขาดว่าหนังสือเล่มนี้เกี่ยวกับอะไร เพราะไม่ตรงแน่ๆ  ชื่อทำให้ไขว้เขว คิดว่าหนังสือเล่มนี้บอกวิธีการคิดแบบใหม่ๆ ที่จะช่วยให้เราเปลี่ยนชีวิตตนเองให้ดีขึ้น ซึ่งตรงแค่คำว่า “เปลี่ยน” เท่านั้น ความจริงคือ หนังสือต้องการนำเสนอวิธีการที่จะทำให้เรากลายเป็นผู้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมใดพฤติกรรมหนึ่งของคนในสังคม ซึ่งจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับกว้าง (ในบริบทนี้ ใช้คำว่า มหภาค ได้ไหมเนี่ย) จนกลายเป็นความเคยชินใหม่ หรือวัฒนธรรมใหม่เลย  ถ้าเราปฏิบัติตามสิ่งที่หนังสือบอก เราจะกลายเป็นนักเปลี่ยนแปลง ที่สามารถเปลี่ยนอะไรก็ได้ แม้แต่พฤติกรรมของตนเอง

เห็นไหมว่ามันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับชื่อหนังสือภาษาไทยเลย แต่ถ้าเป็นภาษาอังกฤษที่คณะผู้เขียนคิดมา ถึงจะเข้าเค้าหน่อย  คิดอยากเขกกะโหลกคนแต่งชื่อภาษาไทยอยู่ในใจ หวังว่าคงไม่ใช่ผู้แปลนะ

มีสิ่งที่น่าสนใจในหนังสือมากมาย หลายๆ อย่างน่าเอามาทดลองทำกับตนเอง หมายถึง ทดลองเปลี่ยนพฤติกรรมตนเองหนึ่ง และทดลองเปลี่ยนพฤติกรรมของคนอื่นอีกหนึ่ง  มีอยู่สองประเด็นที่ดิฉันชอบมากๆ เลย คือ การฝึกฝนอย่างมีแบบแผน ความจริงในหนังสือเล่มนี้ก็ไม่ได้อธิบายเรื่องนี้มากนัก แต่มันทำให้ดิฉันเห็นภาพชัดเจนขึ้น ว่าทำไมคนบางคนถึงใช้เวลานานเหลือเกินที่จะทำอะไรอย่างหนึ่งให้สำเร็จ ในขณะที่อีกคนใช้เวลาไม่นาน  การฝึกฝนเป็นเรื่องสำคัญ แต่ต้องฝึกอย่างมีแบบแผน ไม่ใช่ฝึกอย่างเลอะเทอะไร้ทิศทาง รู้เลยว่าหนังสือเล่มต่อไปที่อยากจะอ่านคือ “The Outliers”

อีกประเด็นหนึ่งที่ชอบมากคือ การใช้พลังของคนในสังคมเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม  ซึ่งผู้เขียนใช้ตัวอย่างของดร. เอฟเวอเร็ต โรเจอร์สมาอธิบาย ดร.โรเจอร์สได้ศึกษาพฤติกรรมของคนกลุ่มหนึ่งว่าทำอย่างไรถึงจะให้พวกเขาปลูกข้าวโพดพันธุ์ที่เขาคิดค้นขึ้นมา  เขาเรียนรู้ว่า คนในชุมชนหนึ่งมีคนกลุ่มหลักๆ คือ ผู้ทดลองใช้สิ่งใหม่ๆ เป็นคนแรก หรือ innovators กลุ่มนำสมัย หรือ early adapters กลุ่มผู้นำทางความคิด หรือ opinion leaders และคงจะมีกลุ่มผู้ตาม

กลายเป็นว่า กลุ่มที่มีอิทธิพลต่อสังคมโดยรวมมากที่สุดนั้น ไม่ใช่กลุ่ม innovators แต่เป็นกลุ่ม opinion leaders คนกลุ่มนี้จะรวมอยู่ในกลุ่ม early adapters แต่มีความใกล้ชิดคนในสังคมมากกว่า  ในขณะที่พวก innovators จะทำอะไรใหม่ๆ แหวกแนวอยู่เสมอ จนบางทีคนกลับมองว่าเป็นพวกชอบต่อต้านวัฒนธรรมเดิมๆ คนส่วนใหญ่เลยไม่ค่อยจะทำอะไรตามคนกลุ่มนี้มากนัก  ดังนั้น หากต้องการหาแนวร่วมในการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างในสังคม เราต้องได้ใจจากพวก opinion leaders ก่อน ซึ่งในชุมชนหนึ่งจะมีคนกลุ่มนี้อยู่ประมาณร้อยละ 13.5 ก็ถือว่าเยอะพอสมควรนะ

ดิฉันไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะเชื่อการค้นพบนี้ของดร.โรเจอร์สหรือไม่ เพราะไม่ใช่คนไทย และสิ่งที่เขาค้นพบอาจจะไม่ได้เป็นจริงในวัฒนธรรมอื่นก็ได้ แต่ดิฉันเชื่อว่า การใช้พวก opinion leaders เป็นแนวร่วมเป็นวิธีที่น่าจะได้ผล  นี่พูดจากประสบการณ์การทำงานในชุมชนชนบท หมู่บ้านที่ทีมงานสามารถหา opinion leaders เข้ามาเป็นผู้นำโครงการได้ หมู่บ้านนั้นจะดำเนินกิจกรรมพัฒนาได้รวดเร็วมาก ชาวบ้านให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แต่ opinion leaders นี้ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ใหญ่บ้านหรือสมาชิกอบต.ด้วย พวกเขาจะเริ่มปรากฏกายออกมาเองตอนที่เริ่มมีการประชุมในหมู่บ้าน เราต้องหาให้เจอ แล้วพยายามส่งเสริมให้พวกเขาขึ้นมาเป็นผู้นำให้ได้

ถ้าดร.โรเจอร์สพูดถูกเรื่องจำนวนของ opinion leaders ในหนึ่งชุมชน ในหมู่บ้านขนาดประชากรประมาณ 300 คน จะต้องมีคนกลุ่มนี้อยู่ประมาณ 30-40 คน และถ้าเราหาคนพวกนี้เจอ ให้พวกเขาเข้ามาเป็นคณะกรรมการพัฒนาหมู่บ้าน รับรองเลยว่าโครงการพัฒนาชุมชนที่องค์กรดิฉันทำอยู่นี้จะกระฉูดแน่ๆ  แต่ปัญหาก็คือ ดิฉันไม่ค่อยเชื่อว่าในชนบทไทยจะมี opinion leaders อยู่ถึงร้อยละ 13.5 น่ะสิ

เรื่องแปลกอย่างหนึ่งก็คือ ผู้เขียนคงจะมีข้อสันนิษฐานอยู่ในใจแล้วว่า นักเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่มีพื้นฐานจิตใจที่ดี ต้องการช่วยเหลือผู้อื่น ต้องการทำให้สังคมดีขึ้น ซึ่งไม่จำเป็นหรอก ถึงแม้ว่าผู้เขียนจะยกตัวอย่างของนักเปลี่ยนแปลงที่ได้สร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้กับสังคม เช่น เปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคน้ำของคนพื้นเมืองเพื่อขจัดปัญหาการแพร่ระบาดของพยาธิ เป็นต้น แต่ก็ยังมีตัวอย่างของคนที่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมของนักพนันให้เล่นพนันได้นานขึ้นกว่าเดิมด้วยการสร้างบรรยากาศของพื้นที่ให้เหมาะสม ถามว่าดีไหมล่ะ หรือตัวอย่างแบบสีเทาเลยก็ได้ คือ คุณหมอท่านหนึ่ง (เป็นคนไทยด้วยนะ เพิ่งได้รับรางวัลอานันทมหิดลพร้อมเจ้านายดิฉันเมื่อต้นปีนี้เอง) ต้องการหยุดการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ จึงรณรงค์ให้ผู้หญิงที่ทำงานบริการในสถานอาบอบนวด หรืออะไรทำนองนี้ ใช้ถุงยางอนามัย หากแขกผู้ชายที่มาใช้บริการไม่ยอมใช้ถุงยางอนามัย ผู้หญิงเหล่านี้ก็จะไม่ยอมให้บริการ ถามว่าดีไหมที่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมคนให้หยุดแพร่เชื้อเอดส์ได้ คำตอบคือ ดี  แล้วนี่มันเป็นการส่งเสริมให้ชายไทยเที่ยวมากขึ้นหรือเปล่า นอกใจภรรยาตนเองได้อย่างสบายใจขึ้นหรือเปล่า เพราะอย่างน้อยก็ไม่เอาโรคกลับไปฝาก ผู้หญิงเริ่มเห็นว่าอาชีพนี้เป็นอาชีพทั่วไป ทำแล้วได้เงิน ปลอดภัยไม่ติดโรค เลยไม่ต้องทำอาชีพอื่นแล้ว

สิ่งสุดท้ายที่อยากนำมาเป็นข้อสรุปก็คือ เราไม่จำเป็นต้องเป็นคน innovative คือไม่ต้องมัวแต่คิดหาวิธีใหม่ๆ ไม่ซ้ำใครอยู่ตลอดเวลา เพื่อเป็นสุดยอดนักเปลี่ยนแปลง  ฟังดูแล้วอาจจะขัดๆ อยู่ใช่ไหม  ในโลกนี้มีกระบวนการการเรียนรู้ ทฤษฎีเป็นร้อยเป็นล้านที่คนเก่งๆ เขาคิดไว้ให้แล้ว เราไม่จำเป็นต้องไปคิดอะไรเพิ่ม เพียงแค่รู้จักนำความรู้เหล่านั้นมาทดลอง สังเกตุ และปรับปรุงพัฒนาไปเรื่อยๆ  แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เราต้องมีความสามารถด้านการสื่อสาร ไม่อย่างนั้น เราจะไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างที่เราต้องการ เพราะคนไม่เข้าใจว่าเราต้องการทำอะไร หากไม่เข้าใจ แล้วจะทำตามไปทำไม  แล้วสิ่งที่เราเพียรพยายามจะทำ มันจะไม่มีผลอะไรเลย

คนอย่าง Bill Gates หรือ Steve Job ก็เหมือนกัน พวกเขาต้องสื่อสารให้สังคมรู้ให้ได้ว่าพวกเขาทำอะไรอยู่ และสิ่งที่พวกเขาคิดค้นขึ้นมามันจะช่วยให้เรามีชีวิตที่สุขสบายมากขึ้นได้ขนาดไหน พวกเขาต้องการเปลี่ยนพฤติกรรมของเราให้กลายเป็นคนติดเนต ชอบแช็ต บ้านาโนเทค บ้า iPad  แล้วดูสิว่าพวกเขาทำได้ไหม นั่นเป็นเพราะพวกเขาสื่อสารกับเราอยู่ตลอดเวลา  ถ้าพวกเราแค่คิดมา แล้วก็ลองทำดู พอได้แล้วก็วางไว้เฉยๆ ไม่บอกใคร เล่นอยู่คนเดียว มันก็ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงหรอก  หากข้อสันนิษฐานนี้จริง ในโลกนี้อาจจะมีคนที่เก่งกว่า Bill Gates หรือ Steve Job หลายร้อยเท่าก็ได้ เพียงแต่เขาเป็นนักสื่อสารที่ไม่เก่ง เขาเลยไม่ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงใดๆ ให้โลกเราเลย